งานธุรกิจที่น่าสนใจ
ธุรกิจขายเบเกอรี่ออนไลน์
ธุรกิจเบเกอรี่ออนไลน์ เป็นอีกหนึ่งธุรกิจใฝ่ฝันของบรรดาคนที่มีใจรักในการทำขนม หรือชอบรับประทานขนม และถือเป็นการทำธุรกิจที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูงนัก
เพียงใช้เงินลงทุนประมาณ 10,000-60,000 บาท ก็สามารถเริ่มต้นทำธุรกิจได้ จึงเหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจ ทั้งนี้ ความน่าสนใจของธุรกิจเบเกอรี่ออนไลน์อยู่ที่ความต้องการของตลาดที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคที่ปัจจุบันมีการใช้ชีวิตที่เป็นสังคมเมืองมากขึ้น แม้แต่พฤติกรรมในการบริโภคก็เปลี่ยนแปลงไป หันมารับประทานอาหารที่ง่ายๆ สะดวก และทันต่อเวลาที่เร่งรีบมากขึ้น ทำให้เบเกอรี่เป็นอาหารอีกประเภทที่ตอบโจทย์กับผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ทุกช่วงเวลา นอกจากนี้ เบเกอรี่ยังกลายเป็นอาหารที่ต้องถูกนำเข้าไปผสมผสานในงานต่างๆ มากขึ้น
เพียงใช้เงินลงทุนประมาณ 10,000-60,000 บาท ก็สามารถเริ่มต้นทำธุรกิจได้ จึงเหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจ ทั้งนี้ ความน่าสนใจของธุรกิจเบเกอรี่ออนไลน์อยู่ที่ความต้องการของตลาดที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคที่ปัจจุบันมีการใช้ชีวิตที่เป็นสังคมเมืองมากขึ้น แม้แต่พฤติกรรมในการบริโภคก็เปลี่ยนแปลงไป หันมารับประทานอาหารที่ง่ายๆ สะดวก และทันต่อเวลาที่เร่งรีบมากขึ้น ทำให้เบเกอรี่เป็นอาหารอีกประเภทที่ตอบโจทย์กับผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ทุกช่วงเวลา นอกจากนี้ เบเกอรี่ยังกลายเป็นอาหารที่ต้องถูกนำเข้าไปผสมผสานในงานต่างๆ มากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ งานสัมมนาวิชาการ ทัวร์บริการท่องเที่ยว หรือแม้แต่งานศพ ทำให้ตลาดเบเกอรี่ยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก
ทั้งนี้ จุดขายที่สำคัญของการทำธุรกิจเบเกอรี่ออนไลน์ คือ รูปลักษณ์หรือหน้าตาของเบเกอรี่ ซึ่งถือเป็นสิ่งแรกที่จะดึงดูดผู้บริโภคให้สนใจอยากซื้อรับประทาน
2. แนวทางทำธุรกิจOnline ให้ประสบความสำเร็จ
ทำแล้วอยากโต
ต้องรู้จักวิเคราะห์ธุรกิจของตัวเอง
“การเริ่มต้นว่ายากแล้ว แต่การรักษาธุรกิจให้อยู่รอดนั้น ยากยิ่งกว่า” ประโยคดังกล่าวนี้เราได้ยินกันมานาน และถึงวันนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริงอยู่ เพราะทุกวันนี้ในทุกธุรกิจมีการแข่งขันกันสูงมาก วันนี้คุณอาจเป็นผู้นำในตลาดอยู่ แต่พรุ่งนี้อาจกลายเป็นผู้ตามก็ได้ในธุรกิจเบเกอรี่ก็เช่นกัน มีตัวอย่างให้เราเห็นมากมาย ทั้งแบรนด์ไทยเองและต่างประเทศที่แรกเริ่มในการทำธุรกิจนั้นได้รับการตอบรับที่ดี มีลูกค้าเข้ามาไม่ขาดสาย แต่พอผ่านไปสักระยะความสำเร็จที่เคยได้รับมาค่อยๆเลือนหายไป จนสุดท้ายต้องพบกับคำว่าขาดทุน
ฉะนั้นหากคุณเริ่มทำธุรกิจเบเกอรี่แล้วทุกอย่างกำลังไปได้สวย ก็อย่าเพิ่งประมาทไป ต้องหมั่นพัฒนาสูตร พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น เรื่องบริการอย่าให้ขาดตกบกพร่องเด็ดขาด ส่วนเรื่องโปรโมทชั่นก็ควรมีอยู่เนืองๆ
พร้อมทั้งพยายามวิเคราะห์หาจุดแข็งจุดอ่อนของร้านเพื่อนำมาพัฒนาในสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น และแก้ไขข้อบกพร่องในอดีต โดยในที่นี้ขอกล่าวถึงเครื่องมือที่นักการตลาดส่วนใหญ่นำมาใช้เพื่อช่วยในการพัฒนาธุรกิจ นั่นคือ SWOT Analysis โดยย่อมาจาก
S : Strengths หมายถึง จุดเด่น หรือ จุดแข็งของธุรกิจที่ทำอยู่ ยกตัวอย่างเช่น รสชาติเบเกอรี่อร่อย ก็พยายามชูจุดขายเรื่องนี้เป้นสำคัญ โดยอาจพัฒนาสูตรความอร่อย และสินค้าให้หลากหลายขึ้น
W : Weaknesses หมายถึง จุดด้อยหรือ จุดอ่อนของธุรกิจ ยกตัวอย่างเช่น สินค้ามีราคาแพงเกินไป ก็นำกลับมาคิดทบทวนหาวิธีลดต้นทุน แต่ไม่ลดคุณภาพเพื่อให้สินค้าขายได้มากขึ้น โดยอาจมีวางแผนในการสั่งซื้อวัตถุดิบใหม่ เพื่อให้ได้ราคาที่เหมาะสมขึ้น เป็นต้น
O : Opportunities หมายถึง โอกาส พยายามมองหาช่องทางการขายใหม่ๆ เช่น ใกล้เทศกาลปีใหม่ หรือ วันวาเลนไทน์ เป็นช่วงที่คนให้ของแสดงความนับถือ และความรักกัน ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่เราจะรีบคิดเบเกอรี่แบบใหม่ หรือ แพคเก็จจิ้ง ที่เหมาะกับการให้เป็นของขวัญกันและกัน เป็นต้น
T : Threats หมายถึง อุปสรรค ปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นนี้เกิดขึ้นจากภายนอก เหนือการควบคุมของเรา ซึ่งเราควรมีแผนสำรองไว้เตรียมรับมือ อาทิ ถ้ามีร้านเบเกอรี่มาเปิดข้างๆร้านเราจะทำอย่างไร หรือเว็บไซต์ที่เราเปิดขายเบเกอรี่อยู่เกิดมีปัญหาระบบเทคโนดลยีขัดข้องจะทำอย่างไร รวมไปถึงวัตถุดิบขึ้นราคาอย่างกะทันหัน หรือขาดตลาด เราจะบริหารสต็อกวัตถุดิบอย่างไรดี
ทั้งนี้การทำ SWOT Analysis จะทำให้เรามองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจมากขึ้น และเมื่อเกิดปัญหาก็สามารถรับมือได้ ไม่เกิดผลกระทบต่อธุรกิจเบเกอรี่ที่สร้างมากกับมือมากนัก
ทว่าสุดท้ายแล้วไม่ว่าคุณจะทำเบเกอรี่แบบไหน เจาะตลาดใดก็ตาม แม้วัตถุดิบที่นำมาทำเบเกอรี่อาจมีคุณภาพแตกต่างกันไปตามราคา แต่ต้องถึงอย่างไรก็ต้องเลือกที่สด สะอาด และปลอดภัย พร้อมกันนี้ต้องทำธุรกิจด้วยใจ เพราะอะไรที่ทำด้วยเรารัก เราจะสนใจอยากเรียนรู้ และพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ และเมื่อทำดีแล้ว ผลตอบแทนในแง่ของเม็ดเงินจะตามมาอย่างมากมาย
3. ถ้าฉันจะทำธุรกิจ Online ฉันจะทำธุรกิจอะไร
เปิดหน้าร้านผ่านออนไลน์
ต้นทุนน้อย กำไรยิ่งสูง
การเปิดหน้าร้านในสมัยนี้มีต้นทุนสูงอยู่พอสมควร ยิ่งถ้าคุณไม่มีที่ดินหน้าร้านของตัวเอง ต้องไปเช่าพื้นที่ของคนอื่น ต้นทุนยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ทำเลที่ยิ่งอยู่ใกล้แหล่งชุมชน ราคายิ่งสูง แถมยังต้องวางมัดจำล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน – 1 ปี เงินไว้ลงทุนกว่าครึ่งหมดไปกับการทำสัญญาค่าเช่า แถมยังมี ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าพนักงาน ซึ่งเหล่านี้ถือเป็นต้นทุนที่คุณต้องจัดการทุกเดือน เรียกว่ามีต้นทุนเกิดขึ้นทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ
ซึ่งด้วยเงื่อนไขการลงทุนเปิดร้านเบเกอรี่สักแห่งต้องใช้เงินทุนที่สูงมาก ทำให้หลายคนที่แม้จะมีฝีมือในการทำเบเกอรี่ มีไอเดีย มีแผนการตลาดพร้อมทุกอย่าง สุดท้ายก็ได้แต่เตรียมโปรเจคไว้ในฝัน เพราะขาดเงินลงทุน ครั้นจะไปกู้เงินมาก็กลัวความเสี่ยง
ถึงวันนี้คุณสามารถกลับไปรื้อโครงการ ปัดฝุ่นความฝันที่คิดอยากจะมีร้านเบเกอรี่ของตนเองได้แล้ว เพราะสามารถขายผ่านสื่อออนไลน์ได้ทั้งทาง Facebook, Twitter, Website ฯลฯ ซึ่งการขายผ่านออนไลน์จะช่วยให้คุณประหยัดต้นทุนได้มาก ไม่ต้องกลัวเรื่องค่าเช่า หรือสต็อกสินค้าเหลือ ฯลฯ
ทั้งนี้จากเงินลงทุนนับแสนบาทก็เหลือลงมาเพียงแค่หลักหมื่นที่นำมาซื้ออุปกรณ์การทำเบเกอรี่ ที่สำคัญการขายผ่านออนไลน์ทำให้คุณมีลูกค้ามากขึ้น เพราะทุกวันนี้ใครๆ ก็หาข้อมูล ซื้อสินค้าบนโลกอินเทอร์เน็ตด้วยกันทั้งนั้น และถ้าลูกค้าเปิดมาเจอเว็บไซต์หรือ เฟตบุ๊คเบเกอรี่ของคุณ แล้วชอบสนใจก็อาจมีโอกาสได้ตกลงสั่งซื้อสินค้าของคุณก็ได้ ในขณะที่การเปิดหน้าร้านขาย ก็จะขายได้เฉพาะลูกค้าที่อยู่ในบริเวณนั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเปิดร้านขายเบเกอรี่แถวลาดพร้าว ก็จะมีแต่ลูกค้าที่อยู่ในโซนลาดพร้าวเท่านั้นที่เห็นและซื้อ แต่หากเปิดร้านค้าเบเกอรี่ผ่านสื่อออนไลน์ แม้คุณอยู่แถวลาดพร้าว แต่โอกาสที่ลูกค้าที่อยู่แถวบางนาจะเห็นและเกิดการสั่งซื้อก็มี เรียกว่าสามารถทำธุรกิจเบเกอรี่ได้ทั่วทุกพื้นที่นั้นเอง
อ้างอิงhttp://www.smesreport.com/column.php?id=001843







ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น